Welcome to Lifestyle Zone!
สารพัดวิธีดูแล “ตุ่มพองน้ำ”
หลากหลายสาเหตุการเกิดและสารพัดวิธีดูแล “ ตุ่มพองน้ำ ”
สารพัดสาเหตุของตุ่มพอง
นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้อธิบายถึง ตุ่มพองน้ำ ไว้ว่า “ผิวหนังพองหรือตุ่มพอง (blister) มีสาเหตุมาจากการเสียดสีจนชั้นหนังกำพร้าแยกออกจากชั้นหนังแท้ เกิดการไหลซึมของของเหลวจากเลือดและน้ำเหลืองมาคั่งอยู่จนเกิดเป็นตุ่มพองขึ้นมา”
สำหรับการเกิดตุ่มพองนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งคุณหมอรัสมิ์ภูมิได้สรุปไว้ดังนี้ค่ะ
- โรคทางพันธุกรรม ซึ่งเป็นตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคเอพิเดอร์โมลิซิส บุลโลซา (epidermolysis
bullosa) เป็นโรคที่ทำให้เกิดรอยแยกของผิวหนังทำให้เกิดตุ่มพองขึ้นมาได้
- โรคที่เกี่ยวข้องกับอิมมูนซิสเต็มมีอยู่หลายโรคด้วยกัน เช่น โรคเพมฟิกัส (pemphigus) ซึ่งมีหลายชนิด ได้แก่ เพมฟิกัส วัลการิส (pemphigus vulgaris) เพมฟิกัส โฟลิเอเซียส (pemphigus foliaceus) เพมฟิกัส เอริธีมาโทซัส (pemphigus erythematosus) รวมทั้งโรคบูลลูส เพมฟิกอยด์ (bullous pemphigoid) ซึ่งพบได้บ่อยกว่า
- โรคจากการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคบูลลัส อิมเพทติโก้ (Bullous?Impatigo) หรือเชื้อไวรัส เช่น เริมงูสวัด อีสุกอีใส
- กลุ่มอาการแพ้ ได้แก่ การแพ้ยา เช่น โรคสตีเวนส์จอห์นสัน ซินโดรม (Stevens – Johnson Syndrome) รวมถึงสาเหตุอื่นๆ ได้แก่ ผื่นเอ็กซีมา (Eczema) แมลงสัตว์กัดต่อย ตลอดจนการแพ้เครื่องสำอาง ผงซักฟอก และ สารเคมีต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดตุ่มพองได้
- ปัจจัยภายนอก เกิดได้จาก แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกโดนความร้อน หรือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ การเสียดสีผิวหนังซึ่งมักเกิดที่มือและเท้า เช่น นักกีฬายกน้ำหนัก นักเทนนิส หรือผู้ที่ใส่รองเท้าใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป และไม่ชอบใส่ถุงเท้าตลอดจนผู้ที่ชื่นชอบการทำสวน
คลิกเพื่ออ่านต่อหน้าถัดไป
หากเกิดตุ่มพองขึ้นแล้ว คุณหมอแนะนำว่า ควรรักษาตามสาเหตุที่เกิดขึ้น แต่หากไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด ก็ควรรีบไปพบแพทย์ และถ้าคุณมีแผลตุ่มพองที่เกิดจากสาเหตุเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเสียดสีของรองเท้า เหมือนเช่นน้องสาวของเมษาแล้ว เมษามีวิธีเยียวยาง่ายๆ มาแนะนำค่ะ
เยียวยาตุ่มพองด้วยการปล่อยทิ้งไว้
เมื่อผิวหนังเกิดตุ่มพองเราควรทำอย่างไร ระหว่างเจาะตุ่มพองใสให้แตกหรือปล่อยทิ้งไว้
คำตอบก็คือ ถ้าเป็นตุ่มพองขนาดเล็กหรือดูท่าว่ามันจะไม่แตกเอง ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งกับตุ่มพองนั้นควรปล่อยให้แตกและแห้งไปเอง เพราะของเหลวในตุ่มจะเป็นเหมือนเกราะป้องกันผิวหนังใหม่ที่ขึ้นมาทดแทน ดังนั้นตราบใดที่ผิวหนังยังไม่ปริแตกออก โอกาสที่จะติดเชื้อโรคก็น้อยลงไปด้วย ซึ่งคุณสามารถดูแลแผลด้วยตัวเองง่ายๆ ได้ดังนี้
แต่หากคุณทำตุ่มพองแตกโดยไม่ตั้งใจ มีวิธีดูแลแผลมาฝากค่ะ
สำลีก้อนเล็กๆ จุ่มน้ำมันที่ผสมแล้วเพียงเล็กน้อย ทาบางๆ บริเวณแผลวันละ 4 ครั้ง น้ำมันทีทรีจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันไม่ให้แผลอักเสบได้ค่ะ
แต่หากคุณมีแผลตุ่มพองขนาดใหญ่หรือตุ่มพองที่เกิดในบริเวณที่จะโดนกดทับ คุณควรเจาะเอาน้ำใสออกโดยถูกวิธี (ยกเว้นกรณีเป็นตุ่มที่เกิดจากการโดนความร้อน ห้ามเจาะเอาน้ำออกเด็ดขาด เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้)
คลิกเพื่ออ่านต่อหน้าถัดไป
เคล็ด (ไม่) ลับเจาะตุ่มพอง
ถ้าไม่จำเป็นเราไม่ควรเจาะตุ่มพองเป็นอันขาด แต่ถ้าหากเป็นตุ่มพองขนาดใหญ่หรืออยู่ในบริเวณที่คุณจะต้องสัมผัสโดนหรือกดทับโดยเลี่ยงไม่ได้ เมษาก็มีเทคนิควิธีเจาะตุ่มพองมาฝากค่ะ
- เตรียมอุปกรณ์ทำแผล ใช้เข็มที่สะอาด ผ่านการฆ่าเชื้อโดยแอลกอฮอล์หรือการใช้แหนบจับเข็มไปจ่อเปลวไฟโดยตรงสักครู่หนึ่ง จนกระทั่งเข็มเป็นสีแดง แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ล้างตุ่มพองด้วยน้ำยาทำความสะอาดผิวหนังก่อนผ่าตัดหรือยาฆ่าเชื้อ เช่นเบตาดีน (Betadine)
- การเจาะตุ่มพอง วางผ้าก๊อซปิดแผลตุ่มพองไว้ ใช้เข็มเจาะตุ่มบริเวณขอบ โดยดันเข็มในลักษณะเอียงเข้าไปข้างใน จากนั้นค่อยๆ กดผ้าก๊อซเพื่อไล่น้ำออกจากตุ่มจนแห้ง แต่ระวังอย่าให้ผิวหนังด้านบนฉีกขาดหรือหลุดออก เพราะนั่นคือเกราะช่วยปกป้องผิวหนังบริเวณข้างใต้ ซึ่งกำลังอ่อนแอมาก
- การปิดแผล ทาแผลด้วยยาแดงหรือยาใส่แผลสด แล้วใช้ผ้าก๊อซปิดแผลไว้ ทำความสะอาดแผลและเปลี่ยนผ้าก๊อซใหม่วันละ 2 ครั้งจนกว่าจะหาย หากแผลหายดีแล้ว สิ่งสำคัญนอกจากนี้ คือ การดูแลตัวเองด้วยการป้องกันไว้ก่อนค่ะ
ป้องกันไว้ก่อน
ตุ่มพองจากการเสียดสีซ้ำๆ สามารถเกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นทางที่ดีเราจึงควรมีวิธีป้องกันการเกิดตุ่มพองดังนี้ค่ะ
ที่นี้คุณจะใส่รองเท้าคู่สวยหรือเล่นกีฬาได้อย่างสบายใจ เพราะหมดห่วงปัญหาเรื่องตุ่มพองแล้วค่ะ
เมื่อใดควรพบแพทย์
ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 235