“ไข้” จากอุณภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงจนเอาแน่เอานอนไม่ไดนะคะ…

แถมสิ่งที่มักตามมากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือ “อาการไข้” บางรายอาจเริ่มด้วยอุณหภูมิสูง รู้สึกหนาวส่น บางรายสะบัดร้อนสะบัดหนาวเป็นพักๆ และส่วนใหญ่มักมีอากรปวดศีรษะ หรือหายใจเร็วร่วมด้วย

…อาการที่เกิดขึ้นแตกต่างกันได้อย่างไร และมีสาเหตุอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ไปหาคำตอบกันค่ะ

เหตุแห่งความป่วยไข้

ในทางการแพทย์ อาการไข้ นับจากอุณหภูมิในร่างกายที่สูงเกิน 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป

พูดกันอย่างกว้างๆ สาเหตุของอาการไข้นั้นเกิดได้หลากหลาย ทั้งการติดเชื้อ การอักเสบในร่างกาย การบาดเจ็บของประสาทส่วนกลางในกรณีที่เส้นเลือดในสมองแตก หรืออาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คอพอกเป็นพิษ ภาวะขาดน้ำ อุณภูมิในร่างกายขึ้นสูงเกินไป หรือได้รับยา เช่น มอร์ฟีนมากเกินไป

ความสนใจของเราในตอนนี้มุ่งอยู่ที่ อากศที่เปลี่ยนไป อาจทำให้อุณภูมิในร่างกายสูงขึ้น หรือเย็นลง ดังนี้

อาการ “ไข้” (Fever)เป็นอาการที่เกิดการที่ต่อมไฮโปทาลามัสปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้น โดยลดการระบายความร้อนที่ผิวหนัง และเพิ่มความร้อนในร่างกาย โดยเร่งให้กล้ามเนื้อทำงานแทน ซี่งโดยทั่วไปอุณหภูมิในร่างกายจะสูงไม่เกิน 41 องศาเซลเซียส และจะคงที่อยู่ในระดับหนึ่ง โดยศูนย์การควบคุมความร้อนจะปรับให้อุณหภูมิไม่ขึ้นต่อไป และทำให้มีเหงื่อออกมา การเกิดไข้จึงทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญภายในเซลล์มากขึ้ เป็นผลดีต่อร่างกาย คือช่วยเพิ่มการผลิตภูมิต้านทาน และช่วยให้ร่างกายไม่เหมาะสมที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรีย

รับมือกับ “ไข้สูง” อย่างไร 

1. กินยาลดไข้ อาทิ พาราเซตามอล ครั้งละ 1 เม็ด ทุกๆ 4 – 6 ชั่วโมง จนไข้ลด แต่ไม่ควรกินติดต่อกันนานเกินไป
2. กินยาไทย “จันทน์ลีลา” ขนาด 500 มิลลิกรัม ซึ่งปัจจุบันหาซื้อได้ตามร้านขายยาแผนปัจจุบัน และแผนโบราณ โดยกินทุก 4 ชั่วโมง หรือมีอาการไข้ตัวร้อน ถึงเเม้จะออกฤทธิ์ช้ากว่ายาพาเซตตามอล แต่ก็ปลอดภัยกว่า

*แต่ไม่เเนะนำให้กินในคนไข้เลือดออกเพราะอาจจะทำให้เชื้อหลบได้

3. เช็ดตัวอย่างสม่ำเสมอ เมื่อไข้ขึ้นสูง เป็นการช่วยลดอุณหภูมิที่ดีมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
4. ดื่มน้ำว่านหางจรเข้ในน้ำเชื่อมที่ไม่หวานมาก นอกจากช่วยลดไข้แล้ว ยังมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ช่วยให้ร่างกายขับความร้อนได้อีกทางด้วย

…หวังว่า อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขนาดนี้ ทุกคนคงดูแลตัวเองได้ดี และไม่มีอาการไข้มารบกวนนะคะ