Welcome to Lifestyle Zone!

6 วิธีรับมือ ท้องร่วงรุนแรง

รับมือกับอาการ ท้องร่วงรุนแรง

โรค ท้องร่วงรุนแรง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสโปรโตซัว ซึ่งทำให้เรามีอาการถ่ายเหลวเป็นมูกเลือด อาเจียนและมักมีอาการปวดท้องรุนแรงร่วมด้วยหรือเรียกกันว่าอาหารเป็นพิษ

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป อธิบายถึงสาเหตุกับอาการของโรคว่า

“ถ้าอุจจาระร่วงหรือท้องร่วงในเชิงการแพทย์จะตีความว่า ถ่ายเหลว 3 ครั้งหรือบางครั้งกึ่งเหลวและเป็นน้ำมากกว่าปกติ 3 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าถ่ายเป็นน้ำไหลโจ๊กครั้งเดียวก็ถือว่าท้องร่วง นี่คือนิยาม

“และมักจะเกี่ยวเนื่องกับอาหารเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นจากการกินอาหารเข้าไปแล้วมีอาการ บางคนก็เร็วไม่กี่ชั่วโมง บางคนอาจนานประมาณ 24ชั่วโมง อาการของอาหารเป็นพิษที่เด่นคือ จะเกิดขึ้นที่ทางเดินอาหาร คือมีอาการอาเจียน ปวดท้อง และถ่ายเหลว

“ที่ผ่านมาในบ้านเราปีหนึ่งพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษประมาณเดือนละ 10,000ราย เนื่องจากการปรุงอาหารที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ ซึ่งบางครั้งจะเชื่อมโยงกับโรคอุจจาระร่วง เราจึงต้องดูสองโรคไปพร้อมๆ กัน

“ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตที่สำคัญก็คือ การถ่ายเป็นน้ำ เพราะทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ ส่งผลให้เกิดอาการช็อก ชัก และเสียชีวิตได้นอกจากนี้ก็ยังมีเชื้อโรคบางสายพันธุ์ที่ทำให้มีอาการรุนแรงจนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ไตวาย

“จริงๆ แล้วโรคนี้สามารถหายได้เองมีข้อมูลชัดเจนจากองค์การอนามัยโลกว่า การให้ดื่มผงเกลือแร่ละลายน้ำจะช่วยลดอัตราการตายลง ส่วนในประเทศไทยจากการที่เรารณรงค์ให้ประชาชนดูแลตัวเองที่บ้านโดยการดื่มน้ำเกลือแร่ อัตราการตายก็ลดลงเยอะ”

ท้องร่วงรุนแรง

ว่าด้วยเรื่องท้องร่วงหน้าร้อน

แม้ว่าโรคท้องร่วงจะเกิดขึ้นได้กับทุกคนตลอดทั้งปี แต่ดูเหมือนว่าในฤดูร้อนจะเป็นช่วงที่หลายคนป่วยเป็นโรคนี้กันมาก ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงพรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงสาเหตุของโรคท้องร่วงที่สัมพันธ์กับฤดูกาลว่า

“ช่วงที่คนท้องเสียกันเยอะคือช่วงหน้าร้อนต่อหน้าฝน บางคนก็เป็นโรคอุจจาระร่วงอย่างเฉียบพลัน อาหารเป็นพิษ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะในช่วงหน้าร้อนต่อหน้าฝนจะมีภาวะเปียก แฉะและร้อนชื้น และยังรวมถึงปัจจัยเรื่องความหนาแน่นของประชากร สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีด้วย

“อากาศที่อุ่นขึ้นทำให้อาหารบูดเน่าเร็วเชื้อโรคก็จะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วทำให้อาหารเป็นพิษได้?อาหารบางอย่างโดยเฉพาะอาหารทะเล อย่างหอยเชลล์ต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอุณหภูมิของท้องทะเลหรือโลกร้อนขึ้น ทำให้สาหร่ายในท้องทะเลเติบโตได้เร็วขึ้นแบคทีเรียก็เจริญเติบโตได้มาก ทำให้

ปนเปื้อนกับอาหารได้ง่าย

“บริเวณที่มักเกิดโรคส่วนใหญ่จะอยู่ที่ค่ายอพยพทั้งหลาย เพราะเป็นชุมชนหนาแน่น สุขอนามัยไม่ดี และจังหวัดแถบชายทะเล เช่น สมุทรปราการสมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครศรีธรรมราช เพราะมีอาหารทะเลเป็นสาเหตุหลัก”

ท้องร่วงรุนแรง

นานาวิธีรักษาและป้องกัน

การรักษาดูแล เมื่อป่วยเป็นโรคท้องร่วงแล้ว สิ่งที่ควรปฏิบัติมีดังนี้

  1. ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส (สูตรขององค์การเภสัชกรรมหรือองค์การอนามัยโลก) ให้จิบทีละนิดแต่บ่อยครั้งในปริมาณที่เท่ากับปริมาณอุจจาระที่ถ่ายออกมาแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันการขาดน้ำและเกลือแร่

หากเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรให้ดื่มครั้งละ – แก้ว โดยใช้ช้อนค่อยๆ ป้อนทีละ 1 ช้อนชา ทุก 1 – 2 นาที ไม่ควรให้เด็กดูดจากขวดนม เพราะเด็กที่มีอาการขาดน้ำจะกระหายน้ำและดูดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายดูดซึมไม่ทัน จนทำให้อาเจียนและถ่ายมาก?

ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรือนม ควรให้อาหารเหลวบ่อยครั้ง เช่นน้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด และนมแม่สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสม อาจผสมนมให้เข้มข้นเหมือนเดิม แต่ลดปริมาณลงและให้สลับกับสารละลายน้ำตาลเกลือแร่

หากเด็กอายุมากกว่า 2 ปี ควรดื่มครั้งละ 1/2 – 1 แก้ว โดยดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง เมื่ออาการดีขึ้นจึงหยุดดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และกินอาหารอ่อน ย่อยง่าย จะช่วยให้ลำไส้ฟื้นตัวเร็ว

  1. หากมีอาการผิดปกติควรรีบนำส่งโรงพยาบาล เช่น ถ่ายหรืออาเจียนไม่หยุดมากกว่า 4 ครั้ง หิวน้ำตลอดเวลาหรือปัสสาวะไม่ออก แสดงว่าขาดน้ำมาก) หน้ามืด ช็อกหรือหมดสติ มีไข้ปวดท้องอย่างรุนแรง หรือเวลาถ่ายแล้วปวดเบ่งตลอดเวลา?(อาการของบิด)
  2. ขับถ่ายในสุขภัณฑ์ที่ถูกสุขลักษณะและล้างมือให้สะอาด ด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งหลังการขับถ่าย เนื่องจากอหิวาตกโรคนี้เป็นโรคที่ติดต่อง่ายและแพร่ระบาดได้
  3. กำจัดอาเจียนของผู้ป่วย โดยเททิ้งลงในส้วม ราดน้ำให้สะอาด แล้วใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่นน้ำยาล้างห้องน้ำหรือน้ำยาซักผ้าขาวราดซ้ำ
  4. รักษาความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย รวมทั้งซักเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอนปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัวของผู้ป่วยให้สะอาด และนำไปตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค
  5. ผู้ดูแลใกล้ชิดผู้ป่วยควรหมั่นล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อปนเปื้อนจากมือสู่อาหารและเกิดการติดโรคได้

ข้อห้ามเมื่อท้องร่วง

นายแพทย์โอภาสกล่าวถึงข้อห้ามเมื่อเกิดอาการท้องร่วง ดังนี้

  1. ห้ามรับประทานยาฆ่าเชื้อ เพราะบางทีท้องร่วงมีหลายสาเหตุ ไม่ได้เกิดจากเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย แต่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งยังไม่มียาฆ่าเชื้อ ดังนั้นการกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียลงไปก็ไม่หายสิ้นเปลืองเงินและอาจทำให้เชื้อดื้อยา
  2. ห้ามรับประทานยาหยุดถ่ายการถ่ายเป็นกลไกของร่างกายในการขับเชื้อโรคและของเสียออกจากร่างกายหากรับประทานยาหยุดถ่ายเข้าไปจะทำให้ลำไส้ทำงานน้อยลง จากเดิมที่ลำไส้เคยบิดตัวเพื่อไล่ของเสียออก ลำไส้ก็จะอยู่นิ่งๆ ส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีขึ้น

การป้องกัน

  1. ล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงพรรณีอธิบายว่า การล้างมือบ่อยๆ จะช่วยลดการแพร่เชื้อท้องเสียระหว่างคนต่อคนได้ ควรล้างด้วยสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่ปนเปื้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร
  2. ล้างผักผลไม้ให้สะอาด ต้องล้างผ่านน้ำหลายๆ ครั้ง หรือแช่ในน้ำเกลือหรือน้ำผสมเบกกิ้งโซดา 3. แยกอาหารที่เป็นวัตถุดิบกับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว เพราะบางครั้งเนื้อสัตว์หลายชนิดจะปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย จึงควรแยกออกจากกัน (ถ้าจะให้ดีควรงดเนื้อสัตว์ไปเลยดีกว่าค่ะ) การเก็บในตู้เย็นก็ไม่ควรวางปนกัน อาหารที่ปรุงสุกแล้วควรใส่ภาชนะที่ปิดสนิท
  3. รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ๆ ที่สำคัญ การปรุงควรถูกต้องตามเกณฑ์เช่น ถ้าจำเป็นต้องเก็บมารับประทานใหม่ควรทำให้ร้อนจึงจะปลอดภัย โดยมีวิธีสังเกตง่ายๆ คือ ถ้าน้ำเดือดปุดๆ แสดงว่าอุณหภูมิถึง 100 องศาเซลเซียสแล้ว
  4. การเลือกวัตถุดิบที่ถูกสุขลักษณะควรเลือกผักผลไม้ที่สดและสะอาดเสียเวลาในการเลือกนานขึ้น แต่สบายใจเมื่อนำมารับประทาน
  5. ล้างภาชนะให้สะอาดทุกครั้งเช่น เขียงกับมีด ต้องล้างให้สะอาดทุกครั้งก่อนใช้งาน และควรใชช้อนกลางขณะที่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
  6. เก็บอาหารไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี คือ 5 – 60 องศาเซลเซียส ถ้าต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียสเชื้อโรคจะไม่เจริญเติบโตแต่ไม่ตายเพราะฉะนั้นอาหารที่เราเก็บไว้ในตู้เย็นควรอุ่นก่อนรับประทานทุกครั้ง
  7. ไม่ควรรับประทานอาหารที่ปรุงทิ้งไว้ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ต้องเดินทางนั่งรถนานๆ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจบูดเน่าได้ง่าย
  8. ควรลวกหอยแครงอย่างน้อย1 – 2 นาที การรับประทานหอยแครงให้อร่อยและปลอดภัย ควรนำไปลวกในน้ำเดือดตามเวลาดังกล่าว ซึ่งจะสามารถฆ่าเชื้อโรคและคงรสชาติไว้ได้
  9. ควรต้มน้ำให้สุกทุกครั้งก่อนนำมาดื่ม โดยเฉพาะน้ำดื่มตามตู้กดน้ำอาจไม่ได้มาตรฐานและมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคได้