Welcome to Lifestyle Zone!

ไม่ป่วยเป็นโรคจิตแม้ใช้ชีวิตในเมืองวุ่นๆ

โรคจิต หรือ ” โรคจิตเวช “

การใช้ชีวิตในเมืองที่แออัดและเร่งรีบ ไร้ความปลอดโปร่งโล่งสบายจากธรรมชาติ อาจส่งผลให้คนในเมืองหลายคนกลายเป็นโรคทางจิต หรือ ” โรคจิตเวช ” ได้

นายแพทย์ทวีศิลป์ยังบอกอีกว่า

สถานการณ์สุขภาพจิตของคนเมืองตอนนี้มีแนวโน้มแย่ลง เพราะชีวิตที่ต้องแข่งขันในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะถ้าเราหลงในวัตถุที่กลายเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะทางสังคม เช่น บ้าน รถ มือถือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งก่อให้เกิดความต้องการ ความคาดหวัง และต้องการที่จะไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย คือได้เป็นเจ้าของของเหล่านั้น

ซึ่งล้วนต้องใช้พลังในการบีบบังคับตัวเองสูงมาก ถ้าทำได้ก็ดีไปแต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเครียดและเกิดความขัดแย้งภายในใจตัวเองมีปัญหาทางด้านจิตใจ เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นก็อาจเกิดการขัดแย้งกับคนอื่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง จนกระทั่งลุกลามทำให้เกิดการแตกแยกภายในสังคมŽ

โรคจิตเวช

4 โรคทางจิตเวชยอดฮิตคนเมือง

การสำรวจทางระบาดวิทยาสุขภาพจิตระดับประเทศ ของกรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนไทย (อายุระหว่าง 15 – 59 ปี) เป็นโรคทางจิตเวชประมาณร้อยละ 20 โดยคนเหล่านี้กำลังเผชิญหน้ากับโรคทางจิตเวชหลักๆ หลายโรค โรคเหล่านั้นได้แก่

ซึมเศร้า สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าคือปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ตกงาน ปิดกิจการ ล้มละลาย รวมทั้งการถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพัง เช่น คนชราถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว

ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : ผู้ป่วยมีอารมณ์เศร้า ร้องไห้ง่าย จิตใจหดหู่ รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ท้อแท้ สิ้นหวัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่มีแรง อยากทำร้ายตัวเองและรู้สึกอยากตาย

วิตกกังวล เกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายใน เช่น ขาดความมั่นคงในจิตใจ จิตใจอ่อนแอ อ่อนไหวง่าย ต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ และปัจจัยภายนอกที่พบได้คือ ใกล้สอบแต่ดูหนังสือไม่ทัน คับข้องใจเรื่องธุรกิจที่ไม่ราบรื่น ตกงาน หรือต้องเผชิญหน้ากับประสบการณ์แปลกใหม่ เช่น ย้ายโรงเรียนใหม่ เริ่มทำงานครั้งแรก แต่งงาน คลอดลูกคนแรก ฯลฯ

ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเกือบทุกวัน เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ไม่สามารถควบคุมความวิตกกังวลของตัวเองได้ มีอาการต่อไปนี้ไม่น้อยกว่าสามในหกอย่าง ได้แก่ กระสับกระส่าย อ่อนเพลียง่าย สมาธิไม่ดี หงุดหงิดง่าย ปวดกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ ของร่างกาย และนอนไม่หลับ ก่อผลเสียต่อการทำงานและเข้าสังคม

โรคจิตเภท เป็นความผิดปกติทางจิตใจ ผู้ป่วยจะไม่คิดว่าตัวเองป่วย ไม่ยอมรับการรักษา ก่อให้เกิดความผิดปกติทางบุคลิกภาพ มีความคิดอ่านและประสาทรับรู้ไม่อยู่ในความเป็นจริง

ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : มีอาการหลงผิดต่างๆ เกิดประสาทหลอนทางหูหรือตา และยังมีพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เช่น นิ่งเฉย พูดมาก พูดไม่หยุด วุ่นวาย หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย ผุดลุกผุดนั่ง เดินไปเดินมา การพูดจาบางครั้งได้เรื่องได้ราว บางครั้งก็ไม่มีใครเข้าใจความหมาย ซักถามก็ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งมีอาการตกใจกลัวว่ามีเสียงคนขู่จะฆ่า

โรคย้ำคิดย้ำทำ มักพบในคนที่มีภาวะเศรษฐกิจและสังคมระดับกลางและสูง มีเชาวน์ปัญญาดี มีการศึกษาดี เป็นคนที่ชอบคิดชอบทำงาน และรับผิดชอบงานที่ทำ เกิดจากสาเหตุทางจิตใจและความผิดปกติของสารเคมีในสมองชื่อเซโรโทนินต่ำกว่าปกติ ทำให้เกิดการย้ำคิดย้ำทำและมีอารมณ์เศร้าร่วมด้วย

ต้องไปพบแพทย์เมื่อ : มีความวิตกกังวลในความผิด ความไม่ดีของตนเองในอดีต ทนถูกตำหนิไม่ได้ นอกจากนี้ในบางรายยังเป็นลักษณะย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับเรื่องของความสะอาด จะล้างมืออาบน้ำวันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละนานๆ ดูแลตัวเองก่อนป่วย

วิธีปรับสมดุลจิตและกายให้อยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน

เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่เรียกว่า สู้หรือหนีŽ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบภัยคุกคามอย่างทันควันนี้ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันที่ไม่ยอมรับวิธีแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังเข้า สู้Ž หรือ หนีŽ คนยุคนี้จึงต้องทนฝืนรับความเครียด

แต่ความเป็นจริงแล้วเราควรปลดปล่อยมันออกไปโดยเร็วที่สุดเมื่อรู้ว่าเครียด เปลี่ยนมาทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น เดินเล่น รำกระบอง ทำสวน อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ เต้นรำ ความเพลิดเพลินที่ได้รับจะช่วยให้ผ่อนคลาย

การเกื้อกูลทางสังคมช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันได้ จากการศึกษาของนักเรียนแพทย์ในช่วงสอบไล่ พบว่าเซลล์ชนิดหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกันของนักเรียนเหล่านี้ไม่ทำงาน แต่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยดี

ดังนั้นลองติดต่อกับเพื่อนเก่าหรือญาติสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าในอดีต หรือทำงานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ สะสมแสตมป์ เป็นโอกาสที่จะได้คบเพื่อนที่มีความสนใจร่วมกัน

ทำใจให้ได้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ความเครียดมักจะถามหาคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบในทุกๆ สิ่ง แม้ว่าจะทำสิ่งต่างๆ ได้ดีเกือบ 99 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เขาจดจ่อและกระวนกระวายใจจนหาความสุขไม่ได้มักจะเป็นอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ทำไม่ได้มากกว่าพยายามมองโลกในมุมกลับเสียบ้าง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด บางทีเมื่อรู้สึกสบายๆ ที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ความกดดันต่างๆ ก็จะหายไปและพร้อมเสมอสำหรับความท้าทายใหม่ในชีวิต

กุญแจสู่ความสุขของคนเราคือ มีความรักในงานที่ทำอยู่ทุกวัน  หลายคนไม่เคยหยุดถามตัวเองว่าเหตุใดจึงทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ และชอบงานที่กำลังทำหรือเปล่า จึงควรหาคำตอบให้ตัวเองและเลือกทำงานที่ตนชอบและถนัด หากยังไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ ก็ควรมองหาข้อดีของงานที่ทำให้เรามีความสุข

โรคจิตเวช

ในยามที่เครียด ร่างกายจะใช้สารอาหารสำคัญๆ บางอย่างหมดไปอย่างรวดเร็ว ควรจัดอาหารเรียกพลังงานในมื้ออาหารประจำเช่น ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง เผือก มันเทศ เพราะมีวิตามินบีชนิดต่างๆ จะช่วยบำรุงระบบประสาท และอาหารจำพวกแป้งไม่ขัดขาวจะให้พลังงาน ช่วยให้ใจสงบ

ควรอยู่ในอาคารให้มากที่สุดที่จะมากได้ในช่วงที่มีหมอกควันสูงสุด คือช่วงประมาณ 14.00 นาฬิกา หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายภายนอกอาคาร บริเวณใกล้ถนน หากหลีกเลี่ยงควันพิษได้ยากการกินอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินอี จะช่วยป้องกันได้บ้าง

แม้โลกภายนอกจะสับสนอลหม่านเพียงใด หากโลกภายในของเรายังเข้มแข็งเป็นปกติดี ความเจ็บป่วยจะไม่เยื้องกรายมาเยี่ยมแน่นอน

และถ้าวันนี้ใจของคุณยังแข็งแรงดีอยู่ เผื่อแผ่ความสุขนี้ไปยังคนรอบข้างที่ยังอ่อนแอเปราะบางด้วย อย่างน้อยเพื่อคนอื่นหรือแม้แต่คมไผ่จะได้อยู่ในสังคมเมืองที่เป็นสังคมแห่งความสุขอย่างแท้จริง

โรคจิตเวช

รุนแรงแค่ไหนจึงเข้าข่ายเป็นโรคจิตเวช

หากมีภาวะทางจิตไม่ปกติแล้วไม่รีบหาทางเยียวยาอาจพัฒนาไปสู่การเป็นโรคทางจิตเวชได้ ซึ่งการประเมินว่าใครเข้าข่ายเป็นโรคทางจิตเวชมี 4 ขั้นตอน ดังนี้

  1. กระทบกับตัวเอง ความเป็นอยู่หรือชีวิตประจำวัน
  2. กระทบต่อคนรอบข้าง คือมีคนรอบข้างเริ่มเดือดร้อน
  3. สังคมเดือดร้อน แต่เจ้าตัวไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะสร้างโลกในจินตนาการของตัวเองขึ้นมา
  4. ระยะเวลา ต้องนานพอสมควรในการติดตามผลเพราะโรคทางจิตเวชไม่สามารถเจาะเลือดพิสูจน์เหมือนการติดเชื้ออื่นๆ ใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 1 เดือนขึ้นไป