Welcome to Lifestyle Zone!
ภาวะโรคแทรกซ้อนที่มากับ คางทูม
คางทูม
คุณทราบหรือไม่ ว่า คางทูม (Mumps) คือโรคติดเชื้อเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทั้งนี้โรคดังกล่าวหากเกิดในเด็ก (อายุระหว่าง 5 -10 ปี) อาการมักไม่รุนแรงนัก แต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่และไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่คาดไม่ถึงตามมาได้
อาการของโรคคางทูม
คางทูมเป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ติดต่อกันโดยตรงทางการหายใจ การจาม ไอ และการสัมผัสกับน้ำลายของผู้ป่วย เช่น การดื่มน้ำและกินอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน เมื่อได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และปวดเมื่อยตามตัว หลังจากนั้นจะมีอาการเจ็บบริเวณขากรรไกร เนื่องจากต่อมน้ำลายบริเวณข้างหูบวมโตขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหูเวลาพูด กลืน และเคี้ยวอาหารได้ลำบากมากขึ้น
หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา เชื้อไวรัสดังกล่าวจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในเยื่อบุทางเดินหายใจและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงของเรา จากนั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้
โรคแทรกซ้อนที่มากับคางทูม
นอกจากนั้น โรคคางทูมยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมาอีกมายมาย เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ ไตอักเสบ ต่อมไทรอยด์อักเสบ ไขข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ เป็นต้น ซึ่งโรคทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะแสดงอาการมากน้อยขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน
การรักษาและป้องกัน
ปัจจุบันโรคคางทูมยังไม่มียารักษา แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ให้วัคซีนป้องกันโรคคางทูม ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของวัคซีนรวม ทั้งโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมันที่มีชื่อว่าเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) โดยจะให้กับเด็กทั่วประเทศ ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุเก้าเดือน และรับครั้งที่สอง เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคคางทูม ให้รักษาตามอาการ เช่น หากอ่อนเพลียให้นอนพักและดื่มน้ำมากๆ เวลามีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ในกรณีที่คางบวมมากๆให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่เป็นคางทูม และหมั่นทำความสะอาดในช่องปากเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นต้น
ในอดีต คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำใบเสลดพังพอนมาตำผสมกับเหล้าขาวเล็กน้อย ทาบริเวณคางที่บวม 2-3 ครั้งต่อวัน ก็จะทำให้อาการบวมลดลงได้ ซึ่งใครที่เคยป่วยเป็นโรคคางทูมแล้ว จะไม่กลับมาเป็นอีก
ข้อปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วย
ในกรณีของคนใกล้ชิดหรือกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ใกล้ผู้ป่วยโรคคางทูม มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต