Welcome to Lifestyle Zone!

รู้จักโรคแทรกซ้อนจาก โรคเบาหวาน

โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่เกิดจาก โรคเบาหวาน

เป็นอาการที่มักจะเกิดกับคนที่เป็น โรคเบาหวาน มานานแล้ว แต่ไม่ค่อยสนใจในการดูแลตัวเองเท่าที่ควร เช่น อาจปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ไม่ยอมออกกำลังกาย สูบบุหรี่ หรือปล่อยให้ตัวเองอ้วน เป็นต้น เรามาดูกันดีกว่าว่าโรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่เกิดจากเบาหวานมีอะไรบ้าง

โรคแทรกซ้อนที่หลอดเลือดใหญ่

ปกติแล้วอวัยวะต่างๆในร่างกายของเรา จะได้รับสารอาหาร กลูโคส ออกซิเจน จากเลือดที่ไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เมื่อหลอดเลือดตีบ จะทำให้เลือดไหลเวียนช้าและทำให้อวัยวะนั้นๆ เสื่อมเร็วขึ้น การตีบของหลอดเลือดใหญ่ เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากผิดปกติ โดยมากจะเกิดในผู้สูงอายุครับ แต่สำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ถึงแม้จะอายุไม่มากมีความเสี่ยงเช่นกัน ซึ่งอาการหลอดเลือดใหญ่ตีบเนื่องจากเบาหวานนี้ ทำให้เกิดโรคตามมามากมาย เช่น

  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หากผู้ป่วยเบาหวานมีอาการตีบแข็งที่หลอดเลือดหัวใจ จะทำให้รู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดนั่นเอง หากไม่รีบรักษา อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจวาย และเสียชีวิตได้
  • โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน เมื่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเกิดอุดตัน จะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นอัมพฤกษ์หรือเป็นอัมพาตครึ่งซีกในอนาคต
  • โรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะหลอดเลือดใหญ่ตีบ มักจะมีความดันโลหิตที่สูงมากร่วมด้วย ซึ่งหากปล่อยไว้อาจทำให้หลอดเลือดสมองแตก เป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้
  • โรคหลอดเลือดตีบที่เท้า เมื่อเบาหวานลงเท้า จะทำให้คนเป็นเบาหวานมีอาการปวดน่อง ในบางรายที่มีอาการอุดตันของหลอดเลือดขั้นรุนแรง อาจส่งผลให้ถึงเวลาเป็นแผลที่เท้าแล้วไม่รู้สึก และเกิดแผลติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย
  • โรคแทรกซ้อนจากหลอดเลือดเล็ก

    เมื่อเบาหวานลุกลามไปถึงหลอดเลือดเล็ก ก็สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเราได้เช่นกัน โดยทำให้เกิดโรคต่อไปนี้

  • โรคแทรกซ้อนทางตา (Retinopathy) เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่าปกตินั่นเอง ทำให้เกิดความผิดปกติที่จอประสาทตา ส่งผลให้หลอดเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเซลล์จอรับภาพอุดตัน มีเลือดออกในจอประสาทตา มีการรั่วไหลของน้ำเหลือง ทำให้ประสาทการมองเห็นเสื่อมสภาพ เมื่อปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้ตาบอดได้
  • โรคแทรกซ้อนทางไต มักเกิดกับผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดที่มาเลี้ยงไตตีบแข็ง และทำให้ไตกรองของเสียได้ไม่เต็มที่และเสื่อมสภาพลงในที่สุด อาการไตเสื่อมจากเบาหวานจะไม่แสดงอาการ จนกว่าไตจะเสื่อมสภาพลงไปแล้วกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ผู้ป่วยจึงจะเริ่มมีอาการตัวบวม เนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำและเกลือออกจากร่างกายได้ทันกับน้ำและเกลือที่เรารับประทานเข้าไป ร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และซึมเศร้า เป็นต้น
  • โรคแทรกซ้อนที่ระบบประสาท

    ระบบประสาทมีความสำคัญในการควบคุมระบบเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ การย่อยอาหาร การหายใจ และความรู้สึกนึกคิดของคนเรา เส้นประสาทจึงเปรียบเสมือนวงจรไฟฟ้า ที่หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น แล้วมักจะส่งผลเสียต่อระบบต่างๆในร่างกายตามมา ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานเกิน 25 ปี มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคแทรกซ้อนที่ระบบประสาท ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้เกิดอันตรายตามมาดังนี้

  • เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานปวดตามเส้นประสาทต่างๆทั่วร่างกายโดยเฉพาะที่แขนและขา สูญเสียประสาทรับความรู้สึก ซึ่งอาการเหล่านี้ มักเริ่มจากปลายนิ้วเท้า และลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆได้ และผลของอาการชาที่เป็นกับเท้านี่เองครับ ที่ทำให้กว่าผู้ป่วยเบาหวานจะรู้ว่าเป็นแผลก็ต่อเมื่อเชื้อลุกลาม จนแผลมีเนื้อตาย เน่า จนอาจต้องตัดขาได้ในบางราย
  • ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา ส่งผลให้หลอดอาหารทำงานผิดปกติ ทำให้เวลากลืนอาหารรู้สึกติดขัดในคอ เกิดอาการเจ็บหน้าอก นอกจากนั้นเบาหวานยังทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง ส่งผลให้มีอาหารค้างอยู่ในกระเพาะ เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง
  • อันตรายต่อระบบปัสสาวะ เมื่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วยเบาหวานเสื่อมลง จะทำให้ความรู้สึกปวดปัสสาวะหายไป ถึงจะมีปัสสาวะเต็มกระเพาะก็ไม่รู้สึกปวดถ่าย ทำให้มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ และเกิดอาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย
  • ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วย เบาหวาน

    แม้เบาหวานจะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ผู้ป่วยเบาหวานก็ไม่ต้องตกใจไปนะครับ เพราะโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคชนิดนี้ มีวิธีป้องกันและดูแลให้เราสามารถอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขครับ เพียงเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องต่อไปนี้

  • อย่าละเลยการออกลังกายโดยเด็ดขาด เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ตับผลิตอินซูลินได้มากขึ้น เพิ่มการสูบฉีดและการไหลเวียนของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ลดคอเลทเทอรอลในเลือด และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นไปตามปกติอีกด้วย
  • งดเค็มและอาหารรสจัด เนื่องจากอาหารเค็มและอาหารรสจัด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติ และทำให้ไตทำงานหนัก ดังนั้นทางที่ดีควรหันมารับประทานอาหารรสจืดแทน
  • พยายามอย่าให้ร่างกายมีบาดแผล เพราะเวลาที่ผู้ป่วยเบาหวานมีบาดแผลตามร่างกาย แผลจะหายช้ากว่าคนทั่วไป และมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าอีกด้วย เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะเกิดบาดแผล
  • งดครียด ความเครียดสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตของเราเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสียงต่อโรคแทรกซ้อนที่กล่าวไปแล้วในข้างต้นได้มากขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงความเครียด โดยทำกิจกรรมนันทนาการต่างๆ เช่น อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ หรือทำงานอดิเรก อื่นๆ
  • ข้อมูลเรื่อง ” รู้จักโรคแทรกซ้อนจาก เบาหวาน ” จากนิตยสารชีวจิต