Welcome to Lifestyle Zone!
ดีท็อกซ์ แบบชีวจิต เคล็ดลับทำอย่างไร้กังวล และเรื่องที่ควรรู้
ดีท็อกซ์ แบบชีวจิต
ดีท็อกซ์ แบบชีวจิต ทำอย่างไร
ทุกวันนี้คนเราเผชิญความเจ็บป่วยกันมากขึ้นอย่างน่าตกใจ สาเหตุก่อโรคที่สำคัญประการหนึ่งคือ ร่างกายของเรามี ท็อกซิน เกิดขึ้นนั่นเอง
ท็อกซินที่ว่านี้เกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอก คือ อาหารและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยภายใน คือ ความเครียด
อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต กล่าวว่า เราสามารถกำจัดท็อกซินออกจากร่างกายได้ด้วยการทำดีท็อกซ์ (Detoxification) ซึ่งมีทั้งสิ้น 5 วิธี ได้แก่ การสวนทวาร การอบไอน้ำหรืออบซาวน่า การออกกำลังกายและการนวด การใช้ยา – สมุนไพรและเอนไซม์ และการถ่ายเลือด
การทำดีท็อกซ์แบบสวนทวารเป็นการล้างท็อกซินในลำไส้ใหญ่โดยใช้สูตรน้ำกาแฟเป็นหลัก และอาจใช้น้ำสูตรอื่นๆ ได้บ้างในบางโอกาส เช่น น้ำมะขาม น้ำมะนาว หรือน้ำอุ่นเปล่าๆ
ในการทำดีท็อกซ์ สำหรับมือใหม่อาจรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เช่นเดียวกับ คุณจุฑาทิพย์ บุญมา อายุ 51 ปี ที่เคยกลัวการทำดีท็อกซ์จับใจ เนื่องจากทราบมา (ผิดๆ) ว่าจะเป็นอันตรายต่อลำไส้ หากเมื่อลองทำแล้วร่างกายสดชื่นขึ้น เธอจึงทำเป็นประจำเรื่อยมา
พร้อมกันนี้ คุณจุฑาทิพย์ก็มีเคล็ดลับการทำดีท็อกซ์เพื่อชีวจิตมือใหม่มาฝากค่ะ
“ครั้งแรกที่ทำดีท็อกซ์รู้สึกกลัว ตื่นเต้น และอายมากค่ะพยายาม สร้างบรรยากาศในห้องน้ำให้ผ่อนคลาย ด้วยการพกวิทยุเครื่องเล็กเข้าไปฟังเพลง และจุดน้ำมันหอมระเหยไปด้วย
“ความที่เพิ่งเริ่มทำดีท็อกซ์ ทำให้ยังอั้นได้ไม่นาน จึงพยายามฝึกขมิบทวารหนักบ่อยๆ ในระหว่างที่ทำก็หายใจเข้าลึก ๆ ตามคำแนะนำของอาจารย์สาทิส ซึ่งช่วยให้ค่อยๆ อั้นได้นานขึ้น
“เมื่อปรับตัวกับการทำดีท็อกซ์ได้แล้ว ดิฉันจะ ทำกิจกรรมอื่นไปด้วย ในช่วงระหว่างนอนนวดท้อง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการปวดถ่าย และใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เช่น สวดมนต์ในใจหรือพอกหน้า
“คนที่เพิ่งเริ่มทำดีท็อกซ์ ควรเลือกช่วงเวลาที่ไม่กระชั้นเร่งรีบ เพราะยังควบคุมการอั้นได้ไม่ดีนัก หากถ่ายไม่หมดหรือถ่ายไม่ออกจะทำให้รู้สึกจุกมวนท้องหรือวิงเวียนศีรษะ
“การ ควบคุมอุณหภูมิของน้ำ ก็สำคัญเช่นกัน น้ำเย็นเกินไปจะทำให้ถ่ายไม่ออก หรือน้ำร้อนเกินไปอาจถูกลวกได้และอย่าลืมทาวาสลีนที่ปลายท่อ เพื่อป้องกันการถูกขูดเป็นแผลที่ทวารหนัก
“สำหรับใครที่ต้องไปต่างสถานที่นานๆ แนะนำให้พกชุดทำดีท็อกซ์เผื่อ เพราะทำดีท็อกซ์ได้ไม่ยากค่ะ”
คราวนี้หายใจเข้าลึกๆ แล้วมาทำดีท็อกซ์กันนะคะ
อ่านต่อหน้าที่ 2
ทำดีท็อกซ์อย่างไร
ต้มกาแฟผงบริสุทธิ์ (ชนิดไม่ปรุงแต่ง) 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำปริมาณตามสูตร แล้วกรองเอาผงออก เมื่อน้ำอุ่นพอดีกับอุณหภูมิของร่างกายจึงเทใส่ถุงหรือหม้อสำหรับสวน โดยปิดวาล์วที่ปลายท่อก่อนใส่น้ำกาแฟ หรือ ต้มกาแฟกับน้ำประมาณ 2 ถ้วยจนเดือดทำตามขั้นตอนเดิม แล้วเติมน้ำอุ่นให้ได้ปริมาณน้ำที่ใช้ตามสูตรแต่ความเข้มข้นของกาแฟจะลดลง
ผู้ชาย 1,200 – 1,500 ซีซี
ผู้หญิง 1,000 – 1,200 ซีซี
ผู้หญิงตั้งครรภ์และเด็ก 500 – 800 ซีซี
ผู้ที่ผ่าตัดไส้ติ่งออกแล้ว 800 ซีซี
ผู้ที่ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หรือมีบาดแผลที่ทวารหนัก ไม่ควรทำดีท็อกซ์
- ปูผ้ายางรองพื้นในห้องน้ำ แขวนถุงดีท็อกซ์ไว้ที่ปลายเท้าสูงจากพื้นประมาณ 1 – 1.20 เมตร ถ้าแขวนสูงเกินไปน้ำจะไหลเร็วแขวนต่ำเกินไปน้ำจะไหลช้า
- เปิดวาล์วเพื่อไล่ลมออกจากสายยาง (มิฉะนั้นจะเกิดลมในช่องท้อง ทำให้อึดอัด) แล้วปิดวาล์ว ทาวาสลีนที่ปลายท่อประมาณ 2 นิ้ว
- นอนตะแคงขวา เหยียดขาขวาตรง ขาซ้ายก่ายบนขาขวา (เหมือนนอนกอดหมอนข้าง)
- สอดปลายท่อเข้าทางทวารหนักให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว เปิดวาล์วครึ่งเดียว เพื่อให้น้ำกาแฟไหลเข้าช้าๆ จนหมด แล้วค่อยๆ ดึงท่อออกจากทวารหนัก
- นอนหงาย เหยียดขาตรง ใช้มือนวดท้อง (เหนือบริเวณสะดือใต้ชายโครง) วนจากขวาไปซ้าย อั้นให้ได้นานประมาณ 5 นาทีแล้วลุกขึ้นถ่าย โดยขณะถ่ายไม่ต้องเบ่ง
5 วิธีสังเกตท็อกซินในร่างกาย
อ่านต่อหน้าที่ 3
เลิกงง เรื่องดีท็อกซ์เสียที
1. Question : สุขภาพแข็งแรงดี ไม่เห็นจำเป็นต้องทำดีท็อกซ์เลย
Answer :
การทำดีท็อกซ์ (detoxification) มีเป้าหมายเพื่อขจัดท็อกซิน (toxin) ออกจากร่างกาย ท็อกซินหมายถึงพิษที่เกิดได้จาก 2 ทาง ได้แก่ ภายนอกคือ เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายและ ภายใน คือ ปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายของเราเอง เช่น การกินอาหารผิดๆ การปฏิบัติตัวผิดๆ ความเครียด
หากมีท็อกซินในตัวมากจะทำให้ระบบต่างๆ ถูกทำลายจนกระทั่งเจ็บป่วย ดังนั้น แม้ว่าร่างกายยังไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่ถ้าในชีวิตประจำวันได้รับท็อกซินดังที่กล่าวมาจึงแนะนำให้ทำดีท็อกซ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดท็อกซินสะสม อย่างไรก็ตาม ถ้าร่างกายไม่มีท็อกซิน ก็อาจไม่จำเป็นต้องทำดีท็อกซ์
2. Question : ใครๆ ก็ทำดีท็อกซ์ได้ โดยเฉพาะยิ่งทำบ่อยๆ ยิ่งดีต่อสุขภาพ
Answer :
หากต้องการทำดีท็อกซ์ ควรรู้เสียก่อนว่าตัวเองอยากทำเพราะมีวัตถุประสงค์ใดคนที่ทำดีท็อกซ์โดยมากพบได้ 2 กรณี คือ
กลุ่มคนป่วย ไม่ว่าจะป่วยมากหรือป่วยน้อย แต่ต้องทำไปพร้อมๆ กับการรักษาโรค ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผู้ป่วยด้วย ในงวดแรกจะทำดีท็อกซ์ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน (ตามสูตร 14 วัน) เพื่อขับท็อกซินออกให้หมด จากนั้นเข้าสู่งวดที่สอง โดยทำวันเว้นวัน งวดที่สามทำสัปดาห์ละ 2 วัน และเมื่ออาการดีขึ้นจึงหยุดทำ
กลุ่มคนที่ไม่ป่วย มี 2 แบบ โดยดูว่า หากร่างกายมีท็อกซินมากควรทำดีท็อกซ์แต่ถ้าร่างกายสะอาดดี ไม่มีท็อกซิน ก็อาจไม่จำเป็นต้องทำ สำหรับคนที่ไม่เคยทำดีท็อกซ์ ครั้งแรกควรทำติดต่อกัน 3 - 5 วัน แล้วเว้นไปประมาณ 1 เดือน จากนั้นสำรวจตัวเองว่ามีท็อกซินหรือไม่ หากมีจึงทำดีท็อกซ์อีก
3. Question : มีคนบอกว่า ดีท็อกซ์ช่วยรักษาโรค ทั้งมะเร็ง ท้องผูก ลดความอ้วน ฯลฯ
Answer :
ขอย้ำว่า การทำดีท็อกซ์ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาโรค แต่เป็นการลดท็อกซินออกจากตัว ซึ่งป้องกันไม่ให้ภูมิชีวิตถูกทำลายโดยตรง จากนั้นเมื่อภูมิชีวิตแข็งแรงร่างกายจึงสามารถต้านอาการป่วยต่างๆ
สำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกแล้วทำดีท็อกซ์เพื่อช่วยขับถ่ายจนติดเป็นนิสัย จะส่งผลเสียทำให้ระบบขับถ่ายเปลี่ยน ไม่สามารถขับถ่ายด้วยตัวเอง จึงควรแก้ต้นเหตุที่การกินอาหาร
4.Question : อุปกรณ์ดีท็อกซ์มีมากมายจนไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรบ้าง และซื้อได้ที่ไหน
Answer :
อุปกรณ์ที่สำคัญในการทำดีท็อกซ์ประกอบด้วย
ผงกาแฟบริสุทธิ์ ที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง ไม่ใช่กาแฟชงดื่มหรือกาแฟไร้กาเฟอีน (ดีแคฟ) โดยแบ่งออกเป็น ชนิดผงชงละลายทันทีมีผงละเอียดมาก จึงไม่ต้องกรองกากออกหลังต้ม มีทั้งแบบตวงเองและแบบบรรจุซองขนาดเล็กสำหรับใช้ต้มครั้งละหนึ่งซอง พกพาสะดวก ส่วน ชนิดผงหยาบ มีผงค่อนข้างหยาบ ต้องใช้กระชอนกรองกากออกจากน้ำหลังต้มเสร็จแล้ว มีทั้งแบบตวงเองและแบบบรรจุในซองคล้ายถุงชา จะช่วยแยกกากออกจากน้ำกาแฟ
ชุดดีท็อกซ์ แบบถุง มีลักษณะคล้ายถุงน้ำเกลือ มีสายสวนทวารหนัก (สายยาง) ปลอกสวมปลายสายยาง และวาล์วปล่อยน้ำพกพาสะดวก และ แบบขวด เป็นขวดพลาสติกขนาดบรรจุ 2 ลิตรแล้วเชื่อมสายยางเข้ากับฝาขวด สามารถเปลี่ยนขวดใหม่ตามต้องการราคาถูกกว่าแบบถุง แข็งแรง ทนทาน แต่พกพาไม่ค่อยสะดวก
สารหล่อลื่น สำหรับทาปลายสายยาง เพื่อป้องกันการขูดขณะสอดเข้าทวารหนัก แบบที่นิยมใช้ได้แก่ เจลหล่อลื่นชนิดละลายน้ำเป็นเจลเนื้อใส ล้างออกง่ายด้วยน้ำสะอาด เจลหล่อลื่นชนิดไม่ละลายน้ำ (ปิโตรเลียมเจล) เนื้อเจลเหนียวเล็กน้อย ต้องล้างออกด้วยน้ำสบู่ราคาถูก และ น้ำสบู่ ทำโดยเจือจางสบู่กับน้ำสะอาด
5. Question : นอกจากน้ำกาแฟแล้ว การใส่วิตามินหรือใช้น้ำสมุนไพรอย่างอื่น เช่น น้ำใบย่านาง ช่วยให้การทำดีท็อกซ์ได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น
Answer :
การทำดีท็อกซ์แบบชีวจิตปรับปรุงจากสูตรของนายแพทย์แมกซ์ เกอร์สัน ผู้ริเริ่มใช้การทำดีท็อกซ์รักษาผู้ป่วยในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหลักจะใช้น้ำกาแฟเพราะจากการศึกษาและทดลองใช้จริงพบว่า น้ำกาแฟมีสารกาเฟอีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดดำพอร์ทัลเวน (portal vein) ที่ออกจากตับไปยังลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน และม้าม จึงช่วยขับท็อกซินที่สะสมอยู่ตามอวัยวะในช่องท้องออกมา
กรณีที่ใช้น้ำกาแฟอย่างเดียวมาเป็นเวลานาน สูตรชีวจิตยังสลับใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะขามได้บ้าง เพื่อล้างคราบกาแฟที่ติดอยู่ตามผนังลำไส้ใหญ่ แต่น้ำทั้งสองชนิดมีความเป็นกรด อาจทำให้ท้องร้องโครกครากหรือมีอาการปวดมวน จึงไม่แนะนำให้ใช้บ่อย เช่น ใช้น้ำกาแฟ 5 - 6 ครั้ง สลับกับน้ำมะนาวหรือน้ำมะขาม 1 - 2 ครั้ง
สูตรน้ำมะนาวจะใช้มะนาวประมาณ 4 ลูก บีบเอาแต่น้ำมาผสมกับน้ำอุ่น และสูตรน้ำมะขามจะใช้ส้มมะขาม 1 กำมือ ต้มกับน้ำจนเดือดกรองเนื้อมะขามออก แล้วผสมน้ำให้อุ่นพอดี นอกจากนี้ ตามสูตรของชีวจิตไม่มีการใส่วิตามินลงในน้ำกาแฟ เนื่องจากลำไส้ใหญ่ไม่มีหน้าที่ย่อยและดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยงร่างกายแล้ว
สำหรับสมุนไพรอื่นๆ ที่พบว่ามีการนำมาทำดีท็อกซ์นั้น ส่วนใหญ่นิยมใช้ทำอาหาร ตามการแพทย์โบราณกล่าวว่า บางชนิดกินแล้วมีฤทธิ์ช่วยล้างพิษในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาหรือรับรองว่าช่วยล้างพิษจากการสวนล้างลำไส้
6. Question : ทราบมาว่า ชีวจิต แนะนำให้ใช้น้ำกาแฟในการดีท็อกซ์ ไม่ทราบว่าจะดูดซึมเข้าร่างกายหรือไม่ และสามารถใช้น้ำชนิดอื่นดีท็อกซ์แทนได้หรือไม่
Answer :
ปกติสารกาเฟอีนถูกดูดซึมเข้าร่างกายโดยการกินและดื่ม เนื่องจากอาหารที่กินเข้าไปจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กซึ่งมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร ส่วนการทำดีท็อกซ์ผ่านทางทวารหนักด้วยน้ำกาแฟนั้น น้ำกาแฟจะไหลไปถึงบริเวณลำไส้ใหญ่ซึ่งไม่มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารสารกาเฟอีนจึงไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย
ชีวจิต แนะนำให้ใช้น้ำกาแฟดีท็อกซ์ โดยใช้ผงกาแฟบริสุทธิ์ที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง ไม่ใช่กาแฟชงดื่มหรือกาแฟไร้กาเฟอีน หากใช้กาแฟดีท็อกซ์มาเป็นเวลานานอาจใช้น้ำชนิดอื่นสลับได้บ้างแนะนำให้ใช้น้ำมะนาวและน้ำมะขาม
7. Question : การนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เช่น สายสวนทวารทำให้ร่างกายมีโอกาสติดเชื้อง่ายขึ้นหรือไม่
Answer :
การทำดีท็อกซ์เน้นเรื่องความสะอาดเป็นหลัก หลังทำดีท็อกซ์แนะนำให้ทำความสะอาดอุปกรณ์ เช่น สายสวนทวาร ถุงหรือขวดใส่น้ำกาแฟ และผึ่งให้แห้ง ส่วนเรื่องเชื้อโรคนั้น โดยปกติลำไส้ใหญ่ของคนเรามีเชื้อโรค ซึ่งปนอยู่ในอุจจาระอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นการสวนทวารเฉพาะบริเวณลำไส้ใหญ่จึงไม่ใช่การนำเชื้อโรคเข้าไปเพิ่มในร่างกาย
หากทำอย่างถูกต้อง ถูกวิธี ถูกขั้นตอน การดีท็อกซ์ก็ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายค่ะ
บทความน่าสนใจอื่นๆ
บ.ก. ขอตอบ : ปรับอาหาร แก้ท้องผูก เลิกเสพติดดีท็อกซ์
สูตร “2 in 1” ลดน้ำหนัก – ดีท็อกซ์
ดีท็อกซ์ผิว + ลดน้ำตาล ด้วยย่านาง